วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฉันความจำเสื่อม

7 เคล็ดลับรักษาความจำยืนยาว
ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ สวิตเซอร์แลนด์ รายงานผลการศึกษาวิจัยของ ดร. สเตฟานี สติวเดนสกี้ แห่งโรงเรียนแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิสเบิร์ก ในการประชุมวิชาการเรื่อง "ความทรงจำที่ยืนยาว" ระบุว่าสมองมีพัฒนาการอย่างเต็มที่ในช่วงวัยรุ่น สามารถต้านการเสื่อมของความจำได้ ลักษณะเดียวกับการสร้างมวลกระดูกในช่วงวัยรุ่นที่สามารถช่วยป้องกันกระดูกหักในวัยชรา.....


ดร. สติวเดนสกี้ กล่าวว่า เซลล์สมองมีพัฒนาการมากในช่วงต้นของชีวิต มีหลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการสร้างเซลล์สมองขณะที่มีอายุน้อยมีส่วนป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน ดังนั้นแม้เมื่อเข้าสู่วัยชราสมองก็ยังสามารถทำงานต่อได้ สำหรับเคล็ดลับในการรักษาสติปัญญาในวัยชรา คือ


1. กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำแต่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มวิตามินบีควรกินปลาหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน เต้นรำ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ทำสวน อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์

3. ไปพบแพทย์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

4. นอนหลับให้เพียงพอ หากนอนน้อยกว่าวันละ 7-8 ชั่วโมง ทำให้ความจำและสมาธิไม่ดี

5. ลดความเครียด ด้วยการออกกำลังกาย สวดมนต์ และทำสมาธิ

6. คิดและใช้สมอง ยิ่งใช้สมองมากยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมคอร์สเวิร์ด เข้าร่วมอภิปรายกลุ่ม เข้าเรียนพัฒนาตนเองในคอร์สต่างๆ เรียนเปียโน หรือเรียนภาษา ฯลฯ

7. เข้าสังคมเพื่อให้สมองตื่นตัว เช่น พบเพื่อนใหม่ เข้าร่วมเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัคร หรือทำงานนอกเวลา

สดชื่นยามเช้าเมื่อเรานอนดึก

คนนอนดึก

ใครที่นอนดึกเป็นประจำ แล้วอยากตื่นขึ้นมาสดใส วันนี้มีเคล็ดลับมาฝาก.....

- น้ำมะนาว สำหรับคนชอบเที่ยวสถานที่กลางคืน พอตื่นขึ้นมาจะรู้สึกเจ็บคอ แนะนำให้หาน้ำมะนาวมาดื่ม เพราะมะนาวจะมีกรดมะนาว หรือ กรดซิกตริก แถมมีน้ำมันหอมระเหยอยู่เล็กน้อยพอได้กลิ่นหอมชวนดื่มจากเปลือกที่โดนคั้น แถมยังมีวิตามินซี ที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะแก้อาการเจ็บคอ ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
- น้ำขิง สำหรับคนที่รู้สึกเมาค้าง ลองหาน้ำขิงร้อนๆ มาดื่ม เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสชาติและกลิ่นพิเศษ ขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งประเภทน้ำมันหอมระเหย ให้ทั้งรสและกลิ่น การทำน้ำขิงให้อร่อย ให้บุบหัวขิงที่ยังไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด หากต้มนานเกินไปขิงจะเสียรสเสียกลิ่น จะดื่มเปล่าๆ หรือเติมน้ำตาลให้รสชาติหวานน่ากินก็ได้
- น้ำผัก น้ำผลไม้ ดื่มง่ายแถมยังอุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิด ในน้ำผัก น้ำผลไม้ มีส่วนผสมของน้ำตาล สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายช่วยให้หายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายสดชื่น อีกทั้งยังมีแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี ที่จะเข้าไปทดแทนในส่วนที่เสียไป - น้ำหวานๆ คนที่นอนดึกส่วนใหญ่จะตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ รู้สึกเกิดอาการเครียดทางประสาท นั่นก็เพราะว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารที่มีสามารอาหารของแป้งและน้ำตาลสามารถช่วยได้

โรคกระดูกพลุน

กระดูกพลุน


.....
เมื่ออายุมากขึ้น บุคลิกภาพของคนมักจะเปลี่ยนตามไปด้วย อย่างเช่น รูปร่างเตี้ยลง หลังค่อม บางคนก็มีอาการขาโก่งงอ ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ กระดูกหักง่ายกว่าปกติ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดขึ้น เนื่องมาจากความหนาแน่นของกระดูกน้อยลงนั่นเอง ซึ่งตามปกติของร่างกายจะสร้างมวลกระดูกใหม่ และขจัดมวลกระดูกที่หมดอายุออกไป โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่วัย 35 ปีขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสร้างกระดูก ทำให้ปริมาณมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกถูกทำลายส่งผลให้ระดูกชั้นในมีขนาดใหญ่ขึ้น มีลักษณะเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ หรือที่เรียกกันว่าอยู่ในสภาวะ “กระดูกพรุน” ซึ่งผู้หญิงจะสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชายถึง 2-3 เท่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พอ.รศ.ทวี ทรงพัฒนาศิลป์ ศัลยแพทย์ สาขา ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่าสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติในการดูดซึมแคลเซียม คนที่ดื่มสุรา กาแฟ สูบบุหรี่จัด ผู้ป่วยที่ต้องนอนบนเตียงคนป่วยเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระจายไปที่กระดูก ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวกระดูกหักง่าย นอกจากนี้ การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาเสตรียรอยด์ ยากันชัก ยาไทร็อกซิน ฯลฯ รวมทั้งคนที่เป็นโรครูมาตอยด์ โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ฯลฯ ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากเป็นพิเศษเช่นกัน เมื่อกระดูกในร่างกายเริ่มบางลงจนเริ่มเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยถ้ากระดูกไม่หัก ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่หากเมื่อประสบอุบัติเหตุเช่น หกล้ม ภัยเงียบที่แอบแฝงนี้ก็ปรากฏให้รู้ สาเหตุที่กระดูกหักง่ายนั้นเพราะอยู่ในสภาวะกระดูกพรุน โดยส่วนที่จะหักง่ายได้มากกว่าปกติ ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกข้อมือ และกระดูกสะโพก เมื่อกระดูกหักแล้ว โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ผลกระทบที่ตามมาเกิดขึ้น จะทำให้ไม่สามารถเดินได้ การนอนรักษาตัวเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดแผลกดทับ อีกทั้งยังกลายเป็นภาระในการดูแลระยะยาว สุดท้ายอาจเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ สภาวะกระดูกพรุนยังส่งผลต่อโครงสร้างของกระดูกสันหลัง ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังเฉียบพลันและเรื้อรัง มีรูปร่างเปลี่ยนไป เตี้ยลง หลังโก่ง ไหล่งุ้มกว่าปกติ พุงยื่น หลังแอ่น ไม่มีเอว ฟันหลุดง่าย และการทำงานของอวัยวะภายในด้อยลง การย่อยอาหาร และการหายใจลำบาก เป็นต้น จะเห็นได้ว่า โรคกระดูกพรุน นั้น มีอันตรายสูงมาก คนที่มีอายุมากขึ้น จึงจำเป็นต้องป้องกันและรักษา แต่การที่จะรักษากระดูกที่พรุนแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิมนั้นมักจะไม่ค่อยได้ผลนัก สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนนั่นเองวิธีการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนควรมีการป้องกันโดยการเปลี่ยนรูปแบบการดำรงชีวิต และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆอาทิเช่น การงดสูบบุหรี่, งดดื่มสุรา, ชา, กาแฟ, ระวังการลื่นล้ม เป็นต้น นอกจากนี้ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและบริโภคอาหารที่มีแคลเซียม วิตามินดี โปรตีน ที่เพียงพอเพื่อความสมดุลของร่างกาย หากไม่มีเวลามากพอ ควรหาผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมให้กับกระดูก โดยเลือกที่มี คอลลาเจนไฮโดรไลเซท ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้มวลกระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย

มาตรวจสุภาพกันดีกว่า

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

สุขภาพร่างกายที่ดี หาซื้อไม่ได้ แต่การดูแลเพื่อป้องกันโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสามารถช่วยให้คุณมี สุขภาพที่ดีได้ เพราะลักษณะการดำรงชีวิตของแต่ละบุคคลต่างกัน ความเสี่ยงในการเกิดโรคก็ต่างกัน แม้กระทั่งการที่บุคคลในครอบครัวเป็นหรือเคยเป็นโรคใดโรคหนึ่งก็อาจ ก่อให้เกิดโรคทางกรรมพันธุ์ ได้ เช่นกัน ความเสี่ยงที่กล่าวถึงบางครั้งเราไม่คิดว่าเป็นปัจจัยสำคัญอะไรและไม่น่าจะ ต้องกังวลถึงในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราอาจเป็น สาเหตุที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอและมีโรคแอบซ่อนอยู่โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ แล้วใครจะเป็นคนบอกเราได้ว่าเรามีความเสี่ยงอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของโรค ร้าย
การตรวจสุขภาพประจำปี อย่างต่อเนื่องสามารถช่วยคุณได้ ด้วย เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ใน ปัจจุบันนี้สามารถบอกให้รู้ถึงความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นกับตัวท่านใน อนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สร้างความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือในกรณีที่เริ่มมีอาการก็จะได้หาทางป้องกันไม่ให้ลุกลามกลายเป็นโรคต่อไป หรือวินิจฉัยให้รู้ โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงรายการและราคาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ ล่วงหน้า

ศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลปิยะเวท มีความพร้อมที่จะให้บริการในด้าน
การตรวจสุขภาพ ศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลปิยะเวทมีโปรแกรมการตรวจสุขภาพหลากหลายให้เลือกอย่างเหมาะสมกับความต้องการของผู้รับบริการ ตั้งแต่โปรแกรมการตรวจสายตา โปรแกรมการตรวจสุขภาพคู่รัก โปรแกรมการตรวจสุขภาพทั่วไป โปรแกรมการตรวจสุขภาพของสตรีวัยทอง เป็นต้น
การตรวจสุขภาพนอกสถานที่ ศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลปิยะเวทมีความพร้อมในการให้บริการตรวจสุขภาพประจำปีแก่พนักงานบริษัทในสถานที่ทำงาน ด้วยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ร่วมกับการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยในการคัดกรองโรค ให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานบริษัทมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานได้อย่างเต็มที่
การให้คำปรึกษาและคำแนะนำ จากทีมงานและบุคคลาการทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น การให้คำแนะนำทางโภชนการด้านอาหารแก่ผู้รับบริการอย่างถูกต้องและเหมาะสมโดยโภชนากรผู้เชี่ยวชาญ การให้คำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางในแต่ละระบบ
การป้องกันโรค ศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลปิยะเวทมีความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรค ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการเกิดโรคต่าง ๆ ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจถึงโรคต่าง ๆ รวมถึงการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ

โปรแกรมตรวจสุขภาพข้างต้นจำเป็นต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจประมาณ 6-10 ชั่วโมง
สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับจนเกินไป เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจวัดความดัน การเจาะเลือด และการเอกซเรย์ปอดและหัวใจ
ไม่ควรสวมเครื่องประดับโลหะใดๆ ขณะเอกซเรย์ เนื่องจากจะทำให้ภาพที่ได้ไม่ชัดเจน
สำหรับสตรีมีครรภ์หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับการตรวจ เนื่องจากการเอกซเรย์อาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ผู้ที่มีประจำเดือนควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทราบก่อนตรวจปัสสาวะ เพราะเม็ดเลือดที่ปะปนมากับปัสสาวะอาจทำให้การอ่านค่าผิดเพี้ยนได้
การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องต้องกลั้นปัสสาวะก่อนตรวจ เพื่อผลการอ่านค่าที่ชัดเจน
ราคาดังกล่าวข้างต้นยังไม่รวมค่าบริการโรงพยาบาล

สนามหลวง

ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก “ทุ่งพระเมรุ” เป็น “ท้องสนามหลวง” ดังปรากฏในประกาศว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ‘ทุ่งพระเมรุ’ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า ‘ท้องสนามหลวง’”



ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ใช้เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ

ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

สนามหลวงเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2520 มีเนื้อที่ 74 ไร่ 63 ตารางวา

ภัยร้ายจาก Internet

เตือนภันมัลแวร์อาจโจมตีเว็ปไซต์ได้

องค์กรควบคุมด้านระบบรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ได้ออก มากล่าวเตือนภัยแก่เจ้าของเว็บไซต์ว่า ให้ทำการระวังไวรัสประเภทมัลแวร์ตัวใหม่ที่จะเข้ามาโจมตีเวบไซต์ได้โดยจากรายงานของ Websense Security Labs ล่าสุดพบว่า มีเว็บไซต์กว่า 40,000 เว็บไซต์แล้วที่ถูกโจมตีด้วยโค้ด JavaScript ที่เป็นอันตราย
ซึ่งจะทำการ Redirect ไปยัง Web surfer ปลอมๆที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายกับ Google Analytics โดยภายหลังจากที่มีผู้ใช้เข้ามายังเวบไซต์ที่ถูกโจมตีแล้ว มัลแวร์พวกนี้ก็จะอาศัยช่องโหว่ของบราวเซอร์ เพื่อที่จะเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้
แต่ถ้าหากบราวเซอร์ของผู้ใช้ไม่มีจุดอ่อน ก็จะพยายามหากลอุบายมาให้ผู้ใช้ทำการดาวน์โหลดโทรจัน โดยวิธีการที่พวกมัลแวร์เข้ามาโจมตีนี้ ยังมีรายละเอียดไม่แน่ชัด แต่จากการตรวจสอบ Web surfer ปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมา พบว่า มีโฮสอยู่ในประเทศยูเครน ซึ่งน่าจะหมายความว่า Russian Business Network อาจจะอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็เป็นได้

แอปเปี้ลมีประโยชน์อย่างไร

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ทานแล้วมีประโยชน์มากมาย วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์อีกอย่างของแอปเปิ้ลมาบอกกัน…

ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลมีประโยชน์ในการช่วยดับกลิ่น คือ นำไปวางไว้ในครัวในห้องรับแขกก็จะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ แล้วเมื่อเวลากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ อย่างเช่น กระเทียมหรือของหมักดอง ก็ให้รับประทานแอปเปิ้ลตามเข้าไปสักหนึ่งเสี้ยว แค่นี้ กลิ่นเหม็นก็จะหายไป เพราะแอปเปิ้ล มีสารบางอย่างที่สามารถเข้าไปทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปาก รวมถึงแอปเปิ้ลที่เข้าไปอยู่ในกระเพาะจะช่วยทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีก ด้วย




แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ทานแล้วมีประโยชน์มากมาย วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์อีกอย่างของแอปเปิ้ลมาบอกกัน…
ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลมีประโยชน์ในการช่วยดับกลิ่น คือ นำไปวางไว้ในครัวในห้องรับแขกก็จะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ แล้วเมื่อเวลากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ อย่างเช่น กระเทียมหรือของหมักดอง ก็ให้รับประทานแอปเปิ้ลตามเข้าไปสักหนึ่งเสี้ยว แค่นี้ กลิ่นเหม็นก็จะหายไป เพราะแอปเปิ้ล มีสารบางอย่างที่สามารถเข้าไปทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปาก รวมถึงแอปเปิ้ลที่เข้าไปอยู่ในกระเพาะจะช่วยทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีก ด้วย

มาออกกำลังกายกันดีกว่า

การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง หลายคนก่อนจะออกกำลังกายมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวกับอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป

โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด
โรคอ้วน
โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง
โรคเครียด
โรคภูมิแพ้
โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
โรคมะเร็ง

การเริ่มต้นออกกำลังกาย

หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่าย วิธีที่ดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวัน เช่น

ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล
หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล
ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน
ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน
ขึ้นบันไดหลายขั้น
ขุดดินทำสวนนานขึ้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป

หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
เหนื่อยจนเป็นลม
ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%
การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี
อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง
การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46
สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19
การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

ออกกำลังกายกันเถอะ

วิธีถนอมดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการมองเห็น และการรับรู้สิ่งต่าง ๆ บนโลก ดวงตานั้นมีความอ่อนโยน และบอบบาง จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ วันนี้ก็เลยถือโอกาสนำวิธีการถนอมดวงตาแบบง่าย ๆ มาให้ลองปฏิบัติกัน



1. ควรใช้สายตาที่มีแสงสว่างเพียงพอและหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้

2. ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า

3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า มาทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้

4. กรณีที่ใช้สายตานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ ก็ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา ด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง

5. การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการพักผ่อนสายตาที่ดี

6. การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตา และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ ต้องมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

7. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดงหรือดูอิดโรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

8. บริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กัน วันละ 2-3 ครั้ง หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาแปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ถ้าอยากให้ดวงตาดูสดใสและมีเสน่ห์ก็ลองนำ 8 วิธีนี้ไปปฏิบัติกันดู.

ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะโลกร้อนอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพืช สัตว์ และมนุษย์



ที่มาของภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากผลของภาวะเรือนกระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Greenhouse Effect โดยภาวะโลกร้อน ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ, การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม

นอกจากนั้นมนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆ กับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

ปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก

พลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีทั้งรังสีคลื่นสั้นและคลื่นยาว บรรยากาศของโลกทำหน้าที่ปกป้องรังสีคลื่นสั้นไม่ให้ลงมาทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้ โมเลกุลของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนในบรรยากาศชั้นบนสุดจะดูดกลืนรังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์จนทำให้อะตอมของก๊าซในบรรยากาศชั้นบนมีอุณหภูมิสูง และแตกตัวเป็นประจุ (บางครั้งเราเรียกชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประจุนี้ว่า "ไอโอโนสเฟียร์" มีประโยชน์ในการสะท้อนคลื่นวิทยุสำหรับการสื่อสาร) รังสีอุลตราไวโอเล็ตสามารถส่องผ่านบรรยากาศชั้นบนลงมา แต่ถูกดูดกลืนโดยก๊าซโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่ระยะสูงประมาณ 19 - 48 กิโลเมตร แสงแดดหรือแสงที่ตามองเห็นสามารถส่องลงมาถึงพื้นโลก รังสีอินฟราเรดถูกดูดกลืนโดยก๊าซเรือนกระจก เช่น ไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นโทรโปสเฟียร์ ส่วนคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุในบางความถี่สามารถส่องทะลุชั้นบรรยากาศได้

สำหรับ บรรยากาศของโลกประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน 78% ก๊าซออกซิเจน 21% ก๊าซอาร์กอน 0.9% นอกนั้นเป็นไอน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนเล็กน้อย แม้ว่าไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอนจะเป็นองค์ประกอบหลักของบรรยากาศ แต่ก็มิได้มีอิทธิพลต่ออุณหภูมิของโลก ในทางตรงกันข้ามก๊าซโมเลกุลใหญ่ เช่น ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน แม้จะมีอยู่ในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย กลับมีความสามารถในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด และมีอิทธิพลทำให้อุณหภูมิของโลกอบอุ่น เราเรียกก๊าซพวกนี้ว่า "ก๊าซเรือนกระจก" (Greenhouse gas) เนื่องจากคุณสมบัติในการเก็บกักความร้อน หากปราศจากก๊าซเรือนกระจกแล้ว พื้นผิวโลกจะมีอุณหภูมิเพียง -18 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นก็หมายความว่าน้ำทั้งหมดบนโลกนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง


มนุษย์เป็นตัวการทำภาวะโลกร้อนจริงหรือ ?

- จากรายงานของ IPCC มีความเป็นไปได้สูงมาก โดยรายงานนี้จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 2500 คนใน 130 ประเทศ ได้สรุปว่า มนุษย์เป็นตัวการของสาเหตุเกือบทั้งหมด ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

- การทำอุตสาหกรรม การตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อยมลพิษอย่างมหาศาล ได้เพิ่มความเข้มข้นของไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนไว้ทั้งสิ้น

- มนุษย์กำลังเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ มากกว่าที่ต้นไม้และมหาสมุทรสามารถรับได้

- ก๊าซเหล่านี้จะอยู่ในบรรยากาศไปอีกนาน หมายความว่าการหยุดปล่อยก๊าซเหล่านี้ ไม่สามารถหยุดภาวะโลกร้อนได้ทันที

- ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเกิดเป็นวัฎจักรสม่ำเสมอ ซึ่งเกิดจากปริมาณแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังโลก และเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในรอบเวลานับแสนปี แต่การเปลี่ยนแปลงภาวะอากาศที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาแค่เป็นร้อยปี จึงมีผลการวิจัยที่หักล้างทฤษฎีดังกล่าวออกมา

ผลจากภาวะโลกร้อน

เอล นิโญ และลา นิโญ ทั้ง 2 คำนี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างการหมุนเวียนของกระแสอากาศ และกระแสน้ำในมหาสมุทรทั้งบนผิวพื้นและใต้มหาสมุทร แต่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดความผกผันของกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก

ยุงลายพาหะนำโรคไข้เลือดออก

ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกเป็นแมลงจำพวกหนึ่งที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด คือ ยุงลายบ้านและ ยุงลายสวน ยุงลายเป็นยุงที่มีขนาดปานกลาง วงจรชีวิตของยุงลายประกอบด้วยระยะต่างๆ 4 ระยะ ได้แก่ ระยะไข่, ระยะตัวอ่อนหรือลูกน้ำ, ระยะดักแด้หรือตัวโม่ง, และ ระยะตัวเต็มวัยหรือตัวยุง ทั้ง 4 ระยะมีความ แตกต่างกันทั้งรูปร่างลักษณะและการดำรงชีวิต ลักษณะสำคัญทั่วไปของยุงลาย คือ



ระยะตัวเต็มวัย (ตัวยุง)
1. ร่างกายอ่อนนุ่ม เปราะบาง แบ่งเป็น 3 ส่วนแยกออกจากกันเห็นได้ชัดเจนคือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง ลำตัวยาวประมาณ 4-6 มม. มีเกล็ดสีดำสลับขาวตามลำตัวรวมทั้งส่วนหัวและส่วนอกด้วย
2. มีขา 6 ขาอยู่ที่ส่วนอก ขามีสีดำสลับขาวเป็นปล้องๆ ที่ขาหลังบริเวณปลายปล้องสุดท้ายมีสีขาวตลอด
3. มีปีกที่เห็นได้ชัดเจน 2 ปีกอยู่บริเวณส่วนอก ลักษณะของปีกบางใส มีเกล็ดเล็กๆบนเส้นปีก ลักษณะของเกล็ดแคบ ยาว บนขอบหลังของปีกมีเกล็ดเล็กๆเป็นชายครุย นอกจากนี้ที่ส่วนอกยังมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวอยู่ใกล้กับปีก
4. มีปากยาวมาก ลักษณะปากเป็นแบบแทงดูด
5. เส้นหนวดประกอบด้วยปล้องสั้นๆ 14-15 ปล้อง ที่รอยต่อระหว่างปล้องมีขนขึ้นอยู่โดยรอบ ในยุงตัวผู้เส้นขนเหล่านี้ยาวมาก (ใช้รับคลื่นเสียงที่เกิดจากการขยับปีกของยุงตัวเมีย) มองดูคล้ายพู่ขนนก ส่วนในยุงตัวเมียเส้นขนที่รอยต่อระหว่างปล้องจะสั้นกว่าและมีจำนวนน้อยกว่า ลักษณะของหนวดยุงจึงใช้ในการจำแนกเพศของยุงได้ง่าย

ระยะไข่
ไข่ยุงลายมีลักษณะรีคล้ายกระสวย เมื่อวางออกมาใหม่ๆจะมีสีขาวนวล ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและดำสนิทภายใน 24 ชั่วโมง


ระยะลูกน้ำ
ไม่มีขา ส่วนอกมีขนาดใหญ่กว่าส่วนหัว ส่วนท้องยาวเรียวประกอบด้วยปล้อง 10 ปล้อง มีท่อหายใจอยู่บนปล้องที่ 8 และมีกลุ่มขน 1 กลุ่มอยู่บนท่อหายใจนั้น


ระยะตัวโม่ง
ไม่มีขา มีอวัยวะสำหรับหายใจอยู่บนด้านหลัง (บริเวณที่เป็นส่วนหัวรวมกับส่วนอก)


ระวังไว้ด้วยนะครับไอเจ้ายุงเนี้ยเพราะว่ามันร้ายกว่าเสืออีก

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันทหารผ่านศึก

ความหมาย
วันทหารผ่านศึก เป็นวันที่ทหารไทยกลับมาจากการรบสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการช่วยเหลือครอบครัวทหาร ที่เสียชีวิตจากการรบ มีการสงเคราะห์โดยผ่านการเห็นจากรัฐบาล มีประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2510 องค์การทหารผ่านศึก ได้เปลี่ยนมาเป็นองค์การกุศลของรัฐมาเป็นนิติบุคคล ตามกฎหมาย และกระทรวงกลาโหมจะจัดกองทุนรับเงินอุดหนุนขึ้น


หน้าที่ของทหารผ่านศึก คือ การสงเคราะห์ด้านสวัสดิการ เช่น ที่อยู่อาศัย การศึกษาและการจัดหาอวัยวะเทียม และยังมีการสงเคราะห์ด้านอาชีพ โดยฝึกอบรมอาชีพ จัดหางานในต่างประเทศ และการสงเคราะห์ด้านเกษตรกรรม จัดหาที่ดินทำกินให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องมือ และกองทุนต่างๆ จัดหาเงินให้สมาชิก ได้กู้ยืมไปประกอบอาชีพอีก และยังมีการรักษาพยาบาลฟรี โดยการส่งเสริมของทหารผ่านศึกโดยการขอสิทธิพิเศษด้านต่างๆ เช่น ขอลดค่าโดยสาร เป็นต้น

กิจกรรมวันทหารผ่านศึก
การบริจาคจากประชาชน อาจเป็นการนำเอาผลผลิตของทหารมาจำหน่ายกับประชาชนก็ได้ เช่น การทำดอก ป๊อปปี้ ออกไปขายสู่ประชาชนและอาจมีการตั้งกองทุนขึ้นทุกๆปี

เนื่องในโอกาสวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้จะเป็นวันคล้ายวัน สถาปนาองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและ เป็นวันทหารผ่านศึก ทางทีมงานวันว่างได้รับการอนุเคราะห์ข้อมูลประวัติจาก "รายการใจถึงใจ" แผนกสารนิเทศกองบัญชา การ ทหารสูงสุด ซึ่งมีข้อมูลดังนี้



ด้วยตระหนักถึงคุณความดีของทหารหาญ ที่เป็นกองกำลังในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ พวกเขาพร้อมเผชิญหน้ากับอริราช ศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆ ทหารทุกคนต่างสละได้ทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายและลมหายใจ ด้วยตระหนักถึงคุณความดีของ ทหารหาญเหล่านั้น รัฐบาลจึงหาหนทางที่จะให้ความช่วยเหลือมาตลอด โดยในสมัย พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม เป็นผู้พิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2488 โดยเรียกชื่อว่า "คณะกรรมการพิจารณา หาทางช่วยเหลือทหารกองทุน"

ครั้นต่อมา จำนวนของทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึกมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก การดำเนินงานโดยคณะกรรมการจึงไม่รัดกุมและเหมาะสมกับเหตุการณ์ รัฐบาลจึงได้จัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรียกชื่อย่อว่า "อผศ" เพื่อเป็นหน่วยงานถาวรที่จะทำหน้าที่ในการดูแลให้การสงเคราะห์แก่ ทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึกโดยตรง ด้วยการยกร่างพระราชบัญญัติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวนทหารผ่านศึก ต่อมาสภาทหารผ่านศึก สภากลาโหม และรัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ เพื่อขยายการสงเคราะห์ให้ครอบคลุมไปถึงทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และ พลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักร ทั้งภายในและภายนอกประเทศตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด กับทั้งให้รวมมูลนิธิช่วยทหารและครอบครัวทหารที่ไปช่วยสหประชาชาติทำการรบ

องค์การได้ให้การสงเคราะห์ประเภทต่างๆ แก่ทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึกและนอกประจำการ กล่าวคือ ให้การสงเคราะห์ด้านสวัสดิการทั่วไป การสงเคราะห์ด้านอาชีพ การสงเคราะห์ด้านนิคมเกษตรกรรม การสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาล การสงเคราะห์ด้านส่งเสริมสิทธิและเกียรติ

สำหรับในวันทหารผ่านศึกประจำทุกปี องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้กำหนดให้มีพิธีและกิจกรรมต่างๆ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีและความเสียหายของเหล่าทหารผ่านศึกทั้งหลาย โดยในช่วงระหว่างวันที่ 28 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ จะเป็นการประกอบ พิธีทางศาสนาพุทธ คริสต์ และ อิสลามรวมทั้งพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2545 จะมีพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และพิธีสวน สนามสดุดีทหารผ่านศึก ณ ลานอเนกประสงค์ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์

ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและประชาชน ชาวไทยยังคงระลึกถึงและไม่ลืมเลือนวีรกรรมที่เหล่าวีรชนทหารผ่านศึกได้เคย ประกอบเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน และ เพื่อคนไทยทั้งปวง

ขอขอบคุณข้อมูลประวัติ และ กิจกรรมของวันทหารผ่านศึก จากรายการ "ใจถึงใจ" กองบัญชาการทหารสูงสุด

จุดกำเนิดและประวัติข้าวไทย

ข้าว
พันธุ์ข้าวที่มนุษย์เพาะปลูกในปัจจุบันพัฒนามาจากข้าวป่าในตระกูล Oryza gramineae สันนิษฐานว่า พืชสกุล Oryza มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นของทวีป Gondwanaland ก่อนผืนดินจะเคลื่อนตัวและเคลื่อนออกจากกันเป็นทวีปต่าง ๆ เมื่อ230-600 ล้านปีมาแล้วจากนั้นกระจายจากเขตร้อนชื้นของแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ออสเตรเลีย อเมริกากลางและใต้ ข้าวสามารถเจริญเติบโตได้ตั้งแต่ความสูงระดับน้ำทะเลถึง2,500เมตรหรือมากกว่า ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทั้งในที่ราบลุ่มจนถึงที่สูง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เส้นรุ้งที่ 53 องศาเหนือถึง 35 องศาใต้ มนุษย์ได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่างๆ ตามความต้องการของตน เพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ มีการผสมพันธุ์ข้ามระหว่างข้าวที่ปลูกกับวัชพืชที่เกี่ยวข้อง เกิดข้าวพื้นเมืองมากมายหลายสายพันธุ์ ซึ่งสามารถให้ผลผลิตสูง ปลูกได้ตลอดปี ก่อให้เกิดพันธุ์ข้าวปลูกที่เรียกว่า ข้าวลูกผสมซึ่งมีปริมาณ120,000 พันธุ์ทั่วโลก ข้าวที่ปลูกในปัจจุบันแบ่งออกเป็นข้าวแอฟริกาและข้าวเอเชีย

ข้าวแอฟริกา (Oryza glaberrima) แพร่กระจายอยู่เฉพาะบริเวณเขตร้อนของแอฟริกาเท่านั้น สันนิษฐานว่าข้าวแอฟริกาอาจเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตศักราช

ข้าวเอเชีย เป็นข้าวลูกผสม เกิดจาก Oryza sativa กับข้าวป่า มีถิ่นกำเนิดบริเวณประเทศอินเดีย บังคลาเทศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลูกกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อินเดีย ตอนเหนือของบังคลาเทศ บริเวณดินแดนสามเหลี่ยมระหว่างพม่า ไทย ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้

ข้าวเอเชียแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์ :
ข้าวสายพันธุ์แรกเรียกว่าสายพันธุ์ Senica หรือ Japonica ปลูกบริเวณแม้น้ำเหลืองของจีน แพร่ไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ เป็นข้าวเมล็ดป้อม

ข้าวสายพันธุ์ที่สอง เรียกว่า Indica เป็นข้าวเมล็ดยาวปลูกในเขตร้อนแพร่สู่ตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา แหลมมาลายู หมู่เกาะต่าง ๆ และลุ่มแม่น้ำแยงซีของจีนประมาณคริสต์ศักราช 200

ข้าวสายพันธุ์ที่สาม คือ ข้าวชวา (Javanica) ปลูกในอินโดนีเชีย ประมาณ 1,084 ปีก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นแพร่ไปยังฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น ในข้าวเอเชียแพร่เข้าไปในยุโรปและแอฟริกา สู่อเมริกาใต้ อเมริกากลาง เข้าสู่สหรัฐอเมริกาครั้งแรกประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยนำเมล็ดพันธุ์ไปจากหมู่เกาะมาดากัสกา

กินผักใบเขียวถนอมสายตา...ป้องกันต้อกระจก

ผักๆๆๆๆๆๆๆตา เป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการมองเห็น แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้นประสิทธิภาพการทำงานของดวงตาย่อมเสื่อมลงและทำให้เกิดอาการตาฝ้าฟาง ตาพร่ามัว หรือเป็นโรคเกี่ยวกับตา เช่น โรคต้อกระจก คือ ภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตามีลักษณะเป็นฝ้าขุ่นและแข็งตัวมาก ขึ้นเรื่อย ๆ โดยความขุ่นจะกั้นไม่ให้แสงผ่านเข้าสู่ส่วนหลังของลูกตา ทำให้มองไม่เห็น มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ ปัจจุบันไม่มียารักษาหรือละลายต้อกระจกต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่มียารักษาให้หายขาดได้ แต่ยังมีพืชผักที่เราสามารถกินเพื่อป้องกันได้



จากรายงานการวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า วิตามินเอ สารเบต้าแคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อภายในตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต้อกระจก ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของสารเหล่านี้ซึ่งพบมากในผักผลไม้ที่ มีสีเหลือง สีส้ม และสีเขียวเข้ม เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอ และผักใบเขียวเป็นประจำจะทำให้จอตาแข็งแรง ไม่ถูกทำลายได้ง่าย อีกทั้งช่วยลดปัจจัยการเกิดต้อกระจกได้ แต่หากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้




การรับประทานวิตามินเอขนาด 750 ไมโครกรัมนั้น ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน แต่หากรับประทานวิตามินเอมากเกินไปก็อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะ วิตามินเอที่อยู่ในรูปของเรตินอล (Retinol) อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรก ส่วนวิตามินเอที่ได้จากเบต้าแคโรทีน นั้น หากได้รับในปริมาณมากเป็นเวลานานอาจเกิดอาการ ผิวเหลือง โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและจะค่อย ๆ หายไปเองหากรับประทานสาร จำพวกนี้น้อยลง

ผักใบเขียวที่มีวิตามินเอสูงคงหนีไม่พ้น ผักโขม ผักคะน้า ผักบุ้ง ปวยเล้งและผักกาดเขียว โดย ผักโขม ที่คนไทยนิยมนำยอดและใบอ่อนไปลวกรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกนั้นมีวิตามินเอสูง คนโบราณเชื่อว่าผักโขมจะช่วยเพิ่มเลือดเพื่อเปลี่ยนเป็นน้ำนมให้แม่ลูกอ่อน เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและผักโขมยังมีสรรพคุณแก้ไข้ ลดเสมหะ บำรุงธาตุไฟและแก้ฟกช้ำบวมในท้อง คะน้า ผักที่ใคร ๆ ก็รู้จัก นอกจากจะมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีมากแล้วยังเป็นผักที่มีแคลเซียมสูงอีกด้วย ผักบุ้ง เป็นผักที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่มักบอกว่ากินผักบุ้งแล้วตาหวาน สายตาดี เนื่องมาจากผักบุ้งมีวิตามินเอสูงนั่นเอง ซึ่งวิตามินเอจะบำรุงสายตาและช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงจนตาเป็นประกาย ไม่แสบ ไม่แห้ง สรรพคุณแผนโบราณใช้รักษาตาแดง รักษาตามัว ตาฟาง บำรุงสายตา เป็นผักที่มีรสเย็น ช่วยบรรเทาอาการร้อนใน ผักบุ้งมีหลายชนิด ทั้งผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทย เมื่อเทียบปริมาณวิตามินเอกันแล้ว พบว่าผักบุ้งจีนมีวิตามินเอมากที่สุด

ปวยเล้ง เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินบีสูงเช่นกัน รับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบปรุงสุก เป็นผักที่มีรสเย็น หวาน ช่วยบรรเทาอาการร้อนในและช่วยบำรุงกำลัง ผักกาดเขียว เป็นผักอีกชนิดนอกจากจะมีเบต้าแคโรทีนสูงแล้ว ยังมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะและลำไส้ สุดท้ายน้ำมันจากเมล็ดของ ผักกาดเขียว สามารถช่วยขับลม บำรุงธาตุ แก้หวัด หรือเมื่อนำไปนวดบริเวณกล้ามเนื้อจะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่าผักทั้ง 5 ชนิด มีวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอสูง จึงสามารถช่วยป้องกันปัญหาเกี่ยวกับตาได้ ซึ่งไม่เพียงแต่คุณประโยชน์จากวิตามินเอเท่านั้น ผักทั้ง 5 ชนิด ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีและแร่ธาตุอื่น ๆ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นเราจึงควรหันมารับประทานผักกันให้มาก ๆ เพื่อสุขภาพของดวงตาและสุขภาพของร่างกายค่ะ.

แหล่งข่าว : เดลินิวส์

ทำไมเด็กถึงติดเกมส์

ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องบอกว่า ก็เพราะเขาสร้างเกมมาไว้ให้ติด ซึ่งถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะไม่อย่างนั้นเด็กทุกคนที่เล่นเกมส์ก็ต้องติดกันหมด แต่ความจริงเด็กไม่ติดกันทุกคน เด็กติดเกมต่างๆ เหล่านี้ ก็เพราะเนื้อหาเกมเข้าถึงความต้องการสามัญของมนุษย์ มีลักษณะที่ตอบสนองเด็ก ท้าทายให้เอาชนะ ให้ความสนุกสนาน ชวนติดตาม ไม่มีใครแย่งเล่น...

ทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมีข้อเสียก็ต้องมีข้อดีบางอย่างอยู่บ้าง เช่น มีหลายเกมที่ช่วยฝึกการสังเกต ฝึกทักษะความไวในการโต้ตอบ ฝึกไหวพริบ สร้างสรรค์หรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆบางเกมทำให้รู้สึกผ่อนคลายหลบจากโลกภายนอก แต่เด็กบางคนที่อยู่กับจอคอมพิวเตอร์หรือตู้เกมทั้งวัน จึงอาจกลายเป็นเด็กที่อยู่แต่กับตัวเองได้เหมือนกัน การเล่นอย่างขาดการควบคุมที่เรียกว่าติดเกมนั้น ส่งผลให้เด็กใช้เวลากับการเล่นเกมส์จนขาดความกระตือรือร้น ขาดความรับผิดชอบต่อตนเองที่จะทำกิจวัตรประจำวัน และหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการเรียน เพราะส่วนใหญ่เมื่อได้เล่นเกมแล้วจะเล่นอย่างหมกมุ่น ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพกาย ทั้งเรื่องสายตา ความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้จากการทำกิจกรรมอื่นๆ เด็กบางคนที่อยู่กับจอคอมพิวเตอร์หรือตู้เกมทั้งวัน จึงอาจกลายเป็นเด็กที่อยู่แต่กับตัวเอง ขาดทักษะทางสังคมในการอยู่ร่วมกับคนอื่น เด็กที่ติดเกมหลายคนจะหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ไม่รู้จักแบ่งปันคนอื่น ใจแคบ และหลายคนก้าวร้าวมากขึ้น

ส่วนคุณพ่อคุณแม่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจซื้อเกมให้ลูกเล่น เพราะทนลูกเรียกร้องไม่ไหว หรือกลัวว่าลูกจะไม่ทันเพื่อน หรือเพราะเห็นประโยชน์จากเกมอยู่ไม่น้อย เมื่อซื้อเกมให้ลูกเล่นแล้วก็ต้องคาดคำนึงพฤติกรรมในอนาคตของลูกไว้บ้าง ตลอดจนต้องใส่ใจกำกับดูแลการเล่นของลูกกันตั้งแต่ต้นให้ดีเลยทีเดียว

การดูแลมีจุดสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
ดูแลเวลาเด็กเล่นเกม และดูเกมที่ลูกเลือกเล่น ในประเด็นแรก คุณพ่อคุณแม่ต้องมีกติกาชัดเจนว่าเล่นเกมได้เวลาไหน นานเท่าไหร่ เช่นจะให้เล่นได้หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมง กำกับดูแลให้เป็นไปตามข้อตกลง พร้อมมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ เป็นทางเลือกให้ลูกด้วย อย่าปล่อยให้เด็กเล่นไปเรื่อยๆ หรือใช้วิธีพูดโดยไม่มีท่าทางกำกับอย่างหนักแน่นจริงจังประการที่สองที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเรียนรู้เกมที่ลูกเล่นด้วย พูดคุยกับลูกเรื่องเกมที่เขาสนใจ เลือกเกมที่เป็นกีฬา การผจญภัย หรือเกมในทางสร้างสรรค์อื่นๆ มาเล่นกับลูก

การแก้ไข
ถ้าลูกเล่นเกมจนติดเกมไปแล้ว การแก้ไขก็จะต้องการความมั่นคงจากคุณพ่อแม่มาก ทั้งความมั่นคงทางอารมณ์ และความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เริ่มจากการตกลงกติกากันให้ชัดเจน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องกำกับให้เป็นตามข้อตกลง ในช่วงแรกเด็กจะหงุดหงิด และต่อต้านผู้ใหญ่ เพราะเขาเคยต่อรองได้ผลมาก่อน คุณพ่อและคุณแม่ต้องพยายามอย่าใช้อารมณ์กับลุก ด้วยท่าทีธรรมดา แต่มั่นคงว่า "เราตกลงกันแล้วก็ต้องทำตามที่ตกลง" อย่าเอาแต่พูดบ่นโดยไม่มีท่าทีเอาจริง ในช่วงแรกอาจต้องชักจูงให้ลูกมาสนใจในกิจกรรมอื่น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องให้เวลากับเขาพอสมควร อย่าท้อถอยหรือพูดประชด เมื่อเด็กเห็นว่าต่อรองไม่ได้ก็จะทำตามในที่สุด

นอกจากนี้ อีกทางเลือกหนึ่งมรการดึงความสนใจของลูกให้ออกห่างจากเกม โยอาจแบ่งการใช้เวลาในวันหยุดของลูกๆ ออกอย่างเป็นกิจลักษณะ ตัวอย่างเช่น ในวันเสาร์ หากิจกรรมอื่นๆที่อยู่ในความสนใจของลูกให้ทำ เช่น ให้ลูกเข้าคอร์สเรียนดนตรี เรียนศิลปะ เต้นรำ เล่นกีฬา เรียนภาษาเพิ่มเติม เข้าค่ายเยาวชน พายามหากิจกรรมต่างๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับลูกมาให้เขารู้จัก ให้เขาได้เลือกเอง สิ่งที่เด็กได้รับนอกจากเพิ่มทักษะด้านต่างๆ แล้วยังมีเพื่อนมากขึ้น รู้จักเข้าสังคมกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นเดียวกัน การหากิจกรรให้ลูกทำเหล่านี้ จะทำให้ลูกไม่อยู่กับตัวเองมากเกินไป และมีโลกทัศน์กว้างขึ้น วันอาทิตย์สร้างสรรค์กิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัว เช่น ช่วยคุณแม่ทำอาหาร ช่วยคุณพ่อปลูกต้นไม้ ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปปิกนิก ไปเยี่ยมญาติการที่ลูกติดเกมไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย แต่การติดเกมทำให้การเรียนรู้ในชีวิตของเด็กขาดสมดุลไป ดังนั้นยังไม่สายที่คุณพ่อคุณแม่จะร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ขอย้ำว่าต้องใจเย็นและห้ามใช้อารมณ์เด็ดขาด

โดย พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล

ควันบุหรี่มีผมต่อบุคคลข้างเคียง

เด็ก
ทำให้เด็กในครอบครัวป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูชั้นนอกอักเสบเพิ่มมากขึ้น

หญิงมีครรภ์

น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์เพิ่มน้อยกว่าปกติและมีโอกาสแท้ง คลอดก่อนกำหนด ตกเลือดระหว่างคลอด และหลังคลอดมากเป็น 2 เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนั้นยังทำให้เกิดภาวะรกเกาะต่ำ และรกลอกตัว ก่อนกำหนดมากขึ้น ลูกที่คลอดจากแม่ที่สูบบุหรี่ อาจจะมีน้ำหนักและความยาวน้อยกว่าปกติ พัฒนาการทางด้าน สมองช้ากว่าปกติ อาจมีความผิดปกติทางระบบประสาท, ระบบความจำ

คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่

มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่ 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 เท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปีคนทั่วไป ควันบุหรี่จะทำให้เกิดอาการเคืองตา ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการหอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบ ก็จะทำให้มีอาการของโรคเพิ่มมากขึ้น

กลยุทธ์รับมือกับอาการอยากบุหรี่
ถ่วงเวลาไว้ DELAY
หายใจลึกๆ ช้า DEEP BREATH
ดื่มน้ำสักแก้ว DRINK WATER
เปลี่ยนอิริยาบถ DO SOMETHING ELSE



ถ่วงเวลา (Delay)
เมื่ออยากสูบบุหรี่ อย่าเพิ่งเปิดซองบุหรี่หรือ จุดบุหรี่ เมื่อผ่านไป 5 นาทีผ่านไป ความอยากจะลดลง แล้วความตั้งใจของคุณที่จะเลิกก็จะกลับมา
หายใจลึกๆ ช้าๆ (Deep breathe)

หายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ 3 - 4 ครั้ง

ดื่มน้ำ (Drink water)
ค่อยๆจิบน้ำ และ อมไว้สักครู่ให้รู้รสน้ำแล้วจึงกลืนลงคอ

เปลี่ยนอิริยาบถ (Do something else)

อย่าคิดเรื่องการสูบบุหรี่ เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นเสีย เช่น ฟังเพลง ไปเดินเล่น หรือ ไปหาเพื่อนฝูง

เพียงมวนเดียวก็ผลร้าย

ขอให้ใจแข็ง การกลับไปสูบบุหรี่แม้เพียงมวนเดียวจะเป็นผลทำให้กลับไปสูบใหม่ คุณต้องต่อสู้กับความอยากให้ได้ การเลิกสูบบุหรี่ คือ การต่อสู้กับความอยาก แม้กระทั่งบุหรี่เพียงมวนเดียว และต่อสู้กับจิตใจของคุณเอง

อดเป็นวันๆไป

พยายามตั้งใจให้วันผ่านไปโดยไม่สูบบุหรี่ จำบุหรี่มวนแรกของคุณได้ไหม? บางทีอาจจะทำให้คุณเวียนหัวไม่สบาย ก็ได้ ทำดีต่อร่างกายของคุณให้ปรับสภาพได้โดยไม่ต้องมีนิโคติน

เครื่องดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มประเภทโคล่า

เหล่านี้มีคาเฟอีน แต่ไม่มีนิโคติน การที่ไม่มีนิโคตินทำให้ร่างกายดูดซึมคาเฟอีน เข้าไปมากกว่าธรรมดา ทำให้กระวนกระวายและนอนไม่หลับ พยายามดื่มกาแฟให้น้อยลง หรือ ให้อ่อนลงหรือดื่มเครื่องดื่มคล้ายกาแฟ น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือไดเอ็ดโคล่าที่ไม่คาเฟอีน

เตือนสติตัวเอง

เอาเหตุผลที่เลิกบุหรี่ที่เคยจดไว้ออกมาดู และคิดถึงสิ่งที่อยากทำให้ฐานะผู้ไม่สูบบุหรี่

ปฏิเสธบุหรี่จากผู้อื่น

อย่าเกรงใจเมื่อผู้อื่นให้บุหรี่คุณ คุณมีสิทธิปฏิเสธบุหรี่โดยไม่ทำให้ใครเดือนร้อน

เมื่อมือว่าง

พยายามใช้มือทำโน่นทำนี่อย่าปล่อยให้มือว่าง เอากุญแจมาขยำ หรือนับลูกประคำก็ได้

การสูบบุหรี่กับสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ มีรายงานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่จะไม่สามารถต้านทานความอยากสูบบุหรี่ได้เมื่อดื่มเหล้าเข้าไป เหล้าและสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ จะทำให้คุณมีความอดทนต่อความอยากสูบบุหรี่ได้น้อยลง ดังนั้น ขอให้พยายามหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ สัก 2 - 3 สัปดาห์

สารประกอบในบุหรี่

บุรี่...มหัตภัยร้าย




บุหรี่มีสารประกอบต่างๆ อยู่ประมาณ 4000 ชนิด มีสารก่อมะเร็งไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารบางชนิดเป็นอันตรายที่สำคัญ คือ

นิโคติน
กดประสาทส่วนกลาง มีผลต่อต่อมหมวกไต ทำให้เกิดการหลั่งอิพิเนฟริน ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจ เต้นเร็วกว่าปกติ และไม่เป็นจังหวะ หลอดเลือดที่แขนและขาหดตัว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด (ก้นกรองไม่ได้ทำให้ ปริมาณนิโคตินลดลงได้)

ทาร์ หรือน้ำมันดิน
สารก่อมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด, กล่องเสียง, หลอดลม. หลอดอาหาร, ไต, กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ ร้อยละ 50 ของน้ำมันดิน จะไปจับที่ปอด เกิดระคายเคือง ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ

คาร์บอนมอนอกไซด์
ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ เกิดการขาดออกซิเจน ทำให้ มึนงง ตัดสินใจช้า เหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ

ไฮโดรเจนไซยาไนด์
ก๊าซพิษ ทำลายเยื่อบุผิวหลอดลมส่วนต้น ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะเป็นประจำโดยเฉพาะตอน เช้า
ไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซพิษทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลาย และถุงลม ทำให้ผนังถุงลมบางโป่งพอง ถุงลมเล็กๆ หลายอันแตก รวมกันเป็นถุงลมใหญ่ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง

แอมโมเนีย
มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้แสบตา แสบจมูก หลอดลมอักเสบ ไอมีเสมหะมาก

สารกัมมันตรังสี ์
ควันบุหรี่มีสารโพโลเนียม 210 ที่มีรังสีอัลฟาอยู่ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด

เคล็ดลับ เรียนเก่ง

คงเข้าใจว่าใครหลายๆคน อาจจะกำลังคิดอยู่ว่า จะทามยังไงดีให้เราเรียนเข้าใจ รู้เรื่อง ความจริงแล้ว ในการ เรียนหนังสือ ไม่ว่าเราจะฉลาดหรือไม่ ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะศึกษาและไขว่คว้าอยู่ตลอด มันก็จะดีมากเรยคะ เอาเป็นว่า มาดูดีกว่า ว่า เคล็ดลับ 13 ประการในการเรียนอย่างมีประสิทธิ์ภาพมีอะไรบ้าง
1.เราต้องมีความรับผิดชอบนะ
-เราต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบ้าน เรื่องเรียน หลายคนเวลาลืมทำการบ้าน ก็จะบอกอาจารย์ว่าหนูลืม นั่นไม่ ใช่ข้ออ้างที่ดีนะ(คนเขียนทามบ่อยคะ อิอิ)

2.เริ่มต้นดี
-ใครหลายๆคนนะคะ เวลาเปิดเทอมใหม่ๆนี่ ก็จะตั้งใจเรียน แต่พอไปหลังๆนี่ เริ่มแร้วคะ ถ้าเราเริ่มต้นดีตั้งแต่ตอนแรก และก็ดีเสมอไป รับรองคะ

3.กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่
-เพื่อนๆหลายคนตอนนี้ อาจจะกำลังศึกษาอยู่ ม.3 หลายคนก็ศึกษาอยู่ ม.6 ในการเรียนต่อนั้น เพื่อนๆต้องกำหนดให้เป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น

4.วางแผนและจัดการ
-มีการวางแผน จัดลำดับสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำเป็นตารางสัปดาห์ได้ก็ยิ่งดีใหญ่เรยนะคะ

5.มีวินัยต่อตนเอง
-เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผนและจัดการเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม

6.อย่าล้าสมัย
-วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์

7.ฝึกตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ศึกษาข้อมูลเสนอแนะ และฝึกทักษะการเรียนรู้

8.เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู้ชั้นเรียน
-เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน เตรียมอุปกรณ์หนังสือที่จะใช้ในการเรียนให้เรียบร้อย

9.มุ่งมั่นจดจ่อต่อบทเรียน
-ในการเรียนนั้นเราก็ควรที่จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด อาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อที่จะมานั่งพูดคุยกัน หรือรอเวลาให้เลิกเรียนเร็วๆ

10.เป็นตัวของตัวเอง
-รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเอง คิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูงเหมือนกัน

11.มีความกระตือรือล้น
-ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตนเอง

12.มีสุขภาพดี
-เพื่อนๆอย่าลืมใส่ใจถึงสุขภาพทางร่างกายของตัวเราเองนะคะ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมทางสังคมต่างๆก็มาถึงเคล็ดลับทางการเรียนข้อสุดท้ายกันแล้วคะ

13.เรียนอย่างมีความสุข
-เราต้องพยายามที่จะเก็บเกี่ยวความสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่า วิชานี้น่าเรียน เรียนสนุก ไม่ต้องไปเครียดกับมัน แล้วเราก็จะเรียนอย่างมีความสุขคะ

ก็บอกกันไปแล้วนะคะ ไงเพื่อนๆก็อย่าลืม นำเคล็ดลับทั้ง13ประการนี้ ไปปฏิบัติกันดูนะคะ